• 2024年04月29日, 週一

    พยายามเพ่งสมาธิ – การเดินทางข้ามเวลา – จงนำไปปฏิบัติ – การเชื่อมต่อของวิญญาณ/ร่างกาย

    พยายามเพ่งสมาธิ

    กล่าวโดย อนุตราจารย์ชิงไห่
    การประชุมนานาชาติในยุโรป
    6 กรกฎาคม 2556 (2013) ปีทองปีที่ 10
    (ต้นฉบับภาษาอังกฤษ) วิดีโอ-1017

    ถ : ฉันมีคำถามเกี่ยวกับการบำเพ็ญ อย่างเช่น เมื่อเรานั่งสมาธิ เราแค่ปล่อยให้พลังอาจารย์ทำงานใช่ไหม? ฉันคิดว่านั่นฟังดูง่ายจัง

    อ : คุณต้องเพ่งสมาธิ

    ถ : แต่บ่อยครั้งฉันรู้สึกเหมือน บางทีฉันไม่มีสมาธิหรือวอกแวกง่าย แล้วฉันก็แค่ประมาณว่าปล่อยมันไป…

    อ : โอเค ถ้าอย่างนั้นก็จงทำในสิ่งที่คุณทำได้ (ถ โอเค) แน่นอนว่าบางครั้งคุณรวมสมาธิไม่ได้ คุณก็จะรวมไม่ได้ แต่แล้วเมื่อคุณผ่อนคลายสักหน่อย คุณก็จะรวมสมาธิได้อีกครั้ง แต่บางครั้งคุณไม่ได้เพ่งสมาธิไปที่ใจด้วยซ้ำ แต่คุณเพ่งทั่วไปหมด และบางครั้งคุณก็จับตัวเองได้อย่างเช่นว่า อะไรนะ” คุณก็แค่กำลังคิดถึงบางอย่างอยู่ หรือแค่เอน ๆ อยู่ตรงนั้น แล้วคุณก็เห็นแสงและนิมิตและทั้งหมดนั้น ดังนั้นจริง ๆ แล้วเราก็แค่ทำหน้าที่ของเรา ส่วนพระพรนั้นมาจากพลังอาจารย์ เมื่อไรที่มันจะมา มันก็มา มันเป็นแบบนั้น ยกตัวอย่าง เมื่อคุณเปิดร้าน คุณทำงานอะไรหรือ

    ถ : ฉันเป็นผู้ช่วย ผู้ช่วยแพทย์ค่ะ

    อ : ผู้ช่วยแพทย์ ยกตัวอย่าง คุณเปิดสำนักงานกับแพทย์หรือเปิดโรงพยาบาล เปิดทั้งวัน และบางครั้งคุณอยู่ตลอดทั้งวันและไม่มีอะไรเกิดขึ้น และคุณคิดว่า “โอเค ไม่มีคนไข้เลยวันนี้ ไม่มีอะไรเร่งด่วน บางทีฉันอาจจะแค่ออกไปดื่มกาแฟสักถ้วย หรือกลับบ้านเร็วหน่อย หรือเลิกงานเร็ว หรืออะไร” หรือแค่ โอเค คุณเตรียมตัวไว้ว่าคุณจะไม่รับคนไข้เพิ่มอีกตอนนี้เพราะไม่มีอะไรเกิดขึ้น และแล้วในนาทีสุดท้าย ฉุกเฉิน เร่งด่วน สิ่งต่าง ๆ ทุกประเภทก็เข้ามา เข้าใจที่ฉันพูดไหม? (เข้าใจค่ะ) ดังนั้นเมื่อคุณไม่ได้เตรียมตัว ดังนั้นพลังพระเจ้าก็เป็นเช่นนั้น บางครั้งแม้ระหว่างที่คุณนอนหลับ พระเจ้าก็ทรงอวยพรคุณมาก ๆ และเมื่อคุณตื่นขึ้น คุณก็เพียงแต่เห็นแสงแวบหนึ่งวิ่งผ่านไปจากคุณ มันเป็นแค่สิ่งที่เหลือจากอะไรก็ตามที่คุณได้รับพร ดังนั้นจงพยายามทำหน้าที่ของคุณ และอย่างไรก็จงทำสมาธิ และแล้วความพยายามของคุณก็จะถูกนับเช่นกัน แม้ว่าคุณไม่เห็นอะไรระหว่างที่คุณทำสมาธิ และคุณเห็นมันเพียงแต่ตอนหลับเท่านั้น มันก็ดีเช่นกัน คุณทำหน้าที่ของคุณ ตกลงไหม? คุณอยู่ในโรงพยาบาล และคนไข้จะมาหรือไม่มาซึ่งคุณก็ควบคุมไม่ได้

     

    การเดินทางข้ามเวลา

    กล่าวโดย อนุตราจารย์ชิงไห่
    การประชุมนานาชาติในยุโรป
    6 กรกฎาคม 2556 (2013) ปีทองปีที่ 10
    (ต้นฉบับภาษาอังกฤษ) วิดีโอ-1017

    ถ : อาจารย์ครับ ผมอยากถามคำถามเกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิด เราสามารถกลับชาติไปเกิดย้อนเวลาได้ไหม? เช่น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ สามารถกลับชาติไปเกิดย้อนไปสู่ ไอแซก นิวตัน เมื่อ 100 ปีมาแล้วได้ไหม?

    อ : คุณหมายถึงไปเกิดใหม่ในอดีตชาติหรือ? คุณต้องการย้อนเวลาไปใช่ไหม เช่น สมัยของไอน์สไตน์?

    ถ : ใช่ครับ

    อ : ทำไมคุณจึงอยากทำแบบนั้นล่ะ?

    ถ : ผมแค่ยกตัวอย่าง

    อ : ตัวอย่างนี้ไม่เป็นเหตุเป็นผลเท่าไรและไม่… นัก ไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดนัก แม้ว่าฉันจะมีทางเลือกแบบนั้น ฉันก็จะไม่เลือกนะ แม้ว่าฉันจะกลับไปเกิดย้อนไปยังสมัยของ อาทิ เฉียนหลง กษัตริย์ของจีน เขามีอำนาจทั้งหมดและเขาควบคุมทั้งแผ่นดินจีน แต่ฉันก็ไม่อยากไป ในเวลานั้น เขามีแต่เพียงรถม้า และมันเจ็บปวดมากที่จะไปจากตรงนี้ไปตรงนั้น มันใช้เวลานานมาก และบ้านของเขาไม่มีหน้าต่างที่เป็นกระจก มีแต่หน้าต่างกระดาษสีขาว มันมืดไปหมด และมงกุฎหนัก รองเท้าหนาและยากต่อการใส่เดิน ไม่เอาหรอก ขอบคุณค่ะ

    ถ : ฉะนั้นมันหมายถึง การเกิดใหม่เช่นนี้ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงใช่ไหมครับ?

    อ : ไม่สอดคล้องค่ะ แน่นอนคุณทำได้ แต่จะทำไปทำไมล่ะ? ส่วนใหญ่วิญญาณจะก้าวขึ้นไปเสมอ ก้าวไปข้างหน้า ไม่ก้าวถอยหลัง แต่คุณก็สามารถทำได้ อาทิ จากปัจจุบันนี้ การใช้เทคนิคบางชนิด ย้อนกลับไปในสมัยก่อน ถ้าคุณต้องการที่จะทำ แต่ฉันกำลังจะเตือนคุณ มันเป็นสิ่งที่ไม่ดีมากนักที่จะทำ เพราะสมัยก่อนไม่ได้ดีเหมือนกับที่ได้ถูกบรรยายไว้ในหนังสือ มีอุจจาระม้าทั่วถนน เป็นต้น ส่งกลิ่นเหม็น และถนนมากมายไม่ได้ลาดยางมะตอยหรือปูด้วยอิฐ ทั้งหมดเป็นถนนโคลน เป็นต้น และอากาศหนาว พวกเขาไม่มีเครื่องปรับอากาศตรงกลาง พวกเขาไม่มี… พวกเขาไม่มีรถยนต์ โอเค? ในสมัยก่อน และแม้แต่ช่วงไม่นานนัก ก็มีควันจากอุตสาหกรรมไปทั่ว มีโรคที่ควบคุมไม่ได้มากมาย การระบาดของโรคระบาดมากมาย และอื่น ๆ ฯลฯ คุณไม่สามารถเลือกแค่สิ่งดี ๆ จากอดีตชาติและหลีกเลี่ยงการเชื่อมต่อด้านสิ่งแวดล้อมหรือสองด้านในอดีต การเกิดใหม่ ถ้าคุณต้องการ ให้ไปยังอนาคต อนาคตคุณก็ไปเยี่ยมชมได้เช่นกัน

    ในสมาธิ คุณสามารถเห็นอนาคตด้วยว่าอะไรเกิดขึ้น แต่บางส่วนเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งหมด อย่างเช่น นอสตราดามุส เขาเห็นสิ่งต่าง ๆ มากมายในอนาคตและเขาเตือนมนุษยชาติด้วย และเขายังทำนายสิ่งต่าง ๆ มากมายเช่นกัน ดังนั้นเขาได้ไปอย่าง 400 ปี 500 ปีล่วงหน้าเขา และชาติในอดีต คุณไม่ต้องกลับไปเกิดเพื่อที่จะรู้มันหรอก บางครั้งคุณสามารถเห็นได้เช่นกันในสมาธิของคุณ คุณสามารถเห็นสิ่งที่คุณได้ทำไปในชาติอดีตหรือที่ ๆ คุณเคยอยู่และคนแบบไหนที่คุณเคยเป็น  คนรู้มันได้  ดังนั้นศิษย์จำนวนมากได้กลับไปยังชาติอดีตเช่นกันทั้งโดยบังเอิญหรือโดยเจตนา แล้วพวกเขาก็ได้เห็นสิ่งที่พวกเขาเป็นและสิ่งที่ฉันเป็น อย่างนั้นเป็นต้น และบางครั้งพวกเขาก็กลับมาเล่าให้คุณฟัง ตอนแบ่งปันประสบการณ์ เป็นต้น พวกเขาพูดว่าฉันเป็นอันนั้นอันนี้ ฉันได้เป็นกษัตริย์ของประเทศนั้นประเทศนี้ ฉันเป็นอาจารย์ชื่อนั้นชื่อนี้ เข้าใจไหม? ดังนั้นนั่นคือการไปเกิดใหม่ชั่วคราวในระหว่างการทำสมาธิของคุณ คุณสามารถถอยหลังไปหรือมุ่งไปข้างหน้าขณะที่คุณอยู่ที่นี่ แต่อย่าไปที่นั่นถาวรนะ ชาติในอดีตไม่ได้ดีไปหมดใช่ไหม? ประวัติศาสตร์ในอดีต ถ้าคุณควบคุมมันไม่ได้แล้วคุณไปไกลเกินไป และคุณไปพบไดโนเสาร์เหล่านี้ทั้งหมด แล้วก็จะโอ ทำอย่างไรดี? พวกเขาจะหยิบคุณขึ้นมาอย่างกับแมลงวันและใช้คุณเป็นไม้จิ้มฟัน สิ่งที่น่ากลัว ชาติในอดีต ประวัติศาสตร์ในอดีตของมนุษยชาติไม่ได้น่ายินดีเสมอไป ผู้คนจะต้องคุ้ยหาอาหารและใช้ก้อนหินตัดสิ่งต่าง ๆ อาศัยในเต็นท์ มันไมได้ดีเสมอไป คุณยังต้องการกลับไปอดีตอีกไหม? คุณไม่มีความสุขที่นี่หรือ?

    ถ : เปล่าครับ ขอบคุณ ผมแค่อยากรู้ว่านี่เป็นไปได้ไหม

    อ : มันเป็นไปได้ แต่วิญญาณจะไม่เคยทำแบบนั้น มันเหนือกว่าความฉลาดที่จะกลับไปเกิดในประวัติศาสตร์ในอดีต ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติในอดีต เพราะเราก้าวไปข้างหน้ามากขึ้นในตอนนี้

     

    จงนำไปปฏิบัติ

    กล่าวโดย อนุตราจารย์ชิงไห่
    การประชุมนานาชาติในยุโรป
    6 กรกฎาคม 2556 (2013) ปีทองปีที่ 10
    (ต้นฉบับภาษาอังกฤษ) วิดีโอ-1017

    ถ : ฉันอ่านหนังสือของอาจารย์บ่อย ๆ ชื่อว่า “ความลับสู่การฝึกจิตวิญญาณที่ไม่ต้องใช้ความพยายาม” ซึ่งจัดพิมพ์นานมาแล้ว ตอนนี้ท่านเข้าถึงระดับสูงนี้ มีวิธีที่ใหม่กว่านั้นที่ท่านจะชี้แนะเราเพิ่มเติมไหม เพื่อเราจะได้ก้าวหน้าในการบำเพ็ญจิตวิญญาณของเรา?

    อ : ฉันบอกคุณไปมากมาย แต่คุณไม่นำมันไปปฏิบัติ แล้วจะมีประโยชน์อะไรที่จะบอกมากขึ้น?

    ถ : นอกจากการทำสมาธิทุกวันและท่องนามศักดิ์สิทธิ์ ยังมีทางลัดอื่นใดไหมคะ?

    อ : ฉันพูดไปหมดแล้ว ถ้าไม่ใช่ช่วงเวลาการประทับจิต มันก็จะอยู่ในวิดีโอและเทปเสียงของฉัน ประเด็นก็คือ คุณจะต้องนำมันไปปฏิบัติ ตกลงไหม? (ถ : ตกลงค่ะ) มันไม่ใช่แค่เรื่องของการได้ยินมากขึ้น ฉันรู้สึกว่าคุณบางคนได้แค่ฟัง แต่ไม่ทำมัน

     

    การเชื่อมต่อของวิญญาณ/ร่างกาย

    กล่าวโดย อนุตราจารย์ชิงไห่
    การประชุมนานาชาติในยุโรป
    6 กรกฎาคม 2556 (2013) ปีทองปีที่ 10
    (ต้นฉบับภาษาอังกฤษ) วิดีโอ-1017

    ถ : ฉันเห็นในวิดีโอหนึ่งของท่าน ท่านพูดเกี่ยวกับ วิญญาณของท่านไม่ได้เชื่อมต่อกับร่างกายอีกต่อไป วิญญาณของท่านเป็นอิสระ ดังนั้นมันไม่ได้ติดอยู่กับร่างเสมอไป มันอาจอยู่ที่นี่หรือด้านบนสุดหรือที่ใดก็ได้

    อ : ใช่

    ถ : และเมื่อเราอยู่ที่นี่ เรามีโอกาสได้รับพระพรมากมาย แต่ทำไมเราจึงสูญเสียมัน? ถ้าการกระทำทางโลกของเราส่งผลกระทบต่อระดับชั้นของเรา หรือเราสูญเสียบุญมากมายจากการทำสิ่งต่าง ๆ ทางโลก เราจะเก็บรักษามันไว้ได้อย่างไร? หรือเราจะได้รับมาก ๆ ได้อย่างไรแต่ก็สูญเสียมันไปเร็วมาก?

    อ : มีเหตุผลแตกต่างกันไป แน่นอน ร่างกายยังผูกติดอยู่กับวิญญาณ มิฉะนั้นคุณก็จะตาย มีเชือกเส้นหนึ่งผูกเราไว้กับวิญญาณไม่ว่าคุณจะไประดับใด และเมื่อคุณตาย มันก็จะขาด แต่ก่อนคุณตาย คุณก็ถูกผูกติดกับสิ่งนั้นนะ? ดังนั้นเมื่อคุณอยู่ที่นี่ เช่น อยู่ต่อหน้าอาจารย์ ร่างกายของคุณก็ซึมซับมันผ่านความใกล้ชิดของร่างกายแล้วมันก็ให้อาหารแก่วิญญาณ ตกลงไหม? และแน่นอน เช่น สำหรับคนทั่วไป เวลาคุณหลับ วิญญาณก็ออกไปพักผ่อนเช่นกัน เพราะร่างกายทำสิ่งต่าง ๆ ทุกอย่าง บางครั้งก็เหน็ดเหนื่อยมากสำหรับวิญญาณที่จะจัดการ เป็นอย่างนั้น ถ้าเรากำลังทำสิ่งที่ผิด ทำร้ายคนอื่น เป็นต้น ด้วยเหตุที่เราเป็นหนึ่งเดียวกัน ดังนั้นถ้าวิญญาณนั้นกำลังรู้สึกเจ็บปวด วิญญาณนี้ก็จะสะเทือน แล้วด้วยกฎของการชดเชย คุณก็จะ ต้องให้บางอย่างแก่วิญญาณที่สะเทือน ดังนั้นถ้าคุณพลาดขับรถชนใครคนหนึ่ง คุณก็จะต้องจ่ายให้เขาหรือเธอเพื่อชดใช้ ในทางกายภาพมันเป็นแบบนั้นและในทางจิตวิญญาณก็คล้ายกัน

    ดังนั้นนั่นคือเหตุที่เมื่อไรก็ตามที่เราอยู่ในโลกนี้ แม้ว่ามันคือประโยชน์ทางกายภาพ เช่น เรากินบางอย่าง หรือเราใช้บางอย่าง เราก็จะต้องแบ่งบุญของเราออกไปเสมอ นั่นคือเหตุที่ถ้าเราเก็บสะสมสิ่งต่าง ๆ มากมาย หรือเรากินเยอะมาก ไม่มีใครพูดอะไร แต่เราก็ต้องจ่ายให้มันในทางจิตวิญญาณ ดังนั้นนั่นไม่ได้แปลว่ายิ่งคุณกินมากแล้วจะยิ่งดีกับคุณ มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นแค่เพราะมันฟรีหรือเพราะคุณรวย คุณยังต้องจ่ายแม้ว่ามันจะเป็นเงินของคุณ อย่างไรก็ตามคุณก็ต้องจ่ายทางจิตวิญญาณ คะแนนบุญทางจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งจะต้องไปยังชีวิตนั้นเพื่อให้เขาหรือเธอมีวิวัฒนาการ นั่นคือวิธีที่สิ่งมีชีวิตทั้งหลายมีวิวัฒนาการ เห็นไหม? มันจะดีกว่าถ้าเราทำสมาธิมาก แล้วไม่ว่าอย่างไรเราก็จะมีบุญมาก ดังนั้นแม้ว่าเราจะใช้ไปบ้างกับอาหารหรือกับสิ่งอื่นใดหรือทำร้ายคนอื่นโดยไม่ตั้งใจ แต่เราก็จะยังคงมีเพียงพอที่จะปกป้องตัวเอง

    ตัวอย่างเช่น เมื่อเราประสบอุบัติเหตุ วิญญาณจะแค่ละทิ้งร่างกาย ดังนั้นถ้าคุณรู้สึกเจ็บปวดหรืออะไร มันก็แค่จิตใจและปฏิกิริยาทางกายที่ตื่นกลัว วิญญาณออกไปแล้ว ดังนั้นผู้คนแทบจะไม่รู้สึกเจ็บปวด ส่วนใหญ่ถ้าผู้คนไม่ได้บาปเอามาก ๆ เวลาพวกเขาตายพวกเขาจะไม่รู้สึกเจ็บปวด หรือเมื่อพวกเขาประสบอุบัติเหตุ พวกเขาจะไม่รู้สึกเจ็บปวดมากนัก เพราะวิญญาณออกไปแล้วและพยายามที่จะบรรเทาความเจ็บปวดของร่างกาย ดังนั้นเมื่อเราทำบางอย่างที่เป็นภาระหนักมาก วิญญาณก็จะออกไป หรือเมื่อมันเจ็บปวดมากเกินไป คุณก็จะเป็นลม เพราะวิญญาณเพิ่งจะออกไป วิญญาณไม่ต้องการอยู่ในสถานการณ์ลำบากและร่างกายเจ็บปวด เครื่องมือเจ็บปวดเช่นนั้น ดังนั้นวิญญาณเป็นอิสระ แต่เรายังจำเป็นต้องรักษาการติดต่อกันให้ดี

    ในกายเนื้อ เราจำเป็นต้องติดต่อกับพระเจ้าให้มากขึ้น เพื่อที่วิญญาณจะได้รู้สึกมีความสุขและเคลื่อนขึ้นไป แล้วเมื่อวิญญาณอยู่ข้างบน วิญญาณจะสามารถรับอาหารหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณจากที่นั่นด้วย ไม่ใช่แค่ผ่านการติดต่อกับร่างกาย แต่ผ่านวิญญาณที่ติดต่อกับสวรรค์ข้างบนนั้นด้วย ร่างกายใช้เพียงเพื่อแลกเปลี่ยนกรรมเท่านั้น และยังใช้แลกเปลี่ยนพระพรทางจิตวิญญาณด้วย ดังนั้นแม้คุณจะไม่รู้สึกว่าคุณยกระดับ แต่ถ้าร่างกายของคุณอยู่ใกล้แหล่งพระพร ร่างกายก็จะรู้สึกดีไปด้วย จิตใจก็จะรู้สึกดี ผ่อนคลายไปด้วย และการเยียวยาก็เกิดขึ้นในสถานการณ์นั้นด้วย มีคำถามอีกไหม? เป็นคำถามที่ดีค่ะ